วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แพร่งภูธร ชุมชนนี้มีชีวิต



แผนที่แสดงตำแหน่งแพร่งภูธรและบริเวณใกล้เคียง
      
            แพร่งภูธร ถูกสร้างขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ตรงบริเวณถนนอัษฎางค์ จรดกับถนนตะนาว ซึ่งจะเป็นพื้นที่เก่าแก่ที่บางคนเรียกติดปากกันมาว่า "ทางสามแพร่ง" แต่คำว่าทางสามแพร่งที่ว่านี้ ไม่ได้เป็นทางสามแพร่งที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุอย่างที่ทุกคนรู้สึกกัน หากแต่ทางสามแพร่งตรงถนนสองสายนี้เป็นถนนสามแพร่งที่แต่ละแพร่งนั้นต่างก็ เคยเป็นที่ประทับของเจ้านายยุคกลางของสมัยรัตนโกสินทร์ด้วยกันทั้งนั้น
            มีถนนอยู่แพร่งหนึ่งที่หัวถนนตั้งอยู่เยื้องกับร้านขายขนมไทยชื่อดัง อย่างร้าน ก.พาณิช นั้นเราเรียกกันว่า "แพร่งภูธร" ซึ่งแพร่งภูธรที่เรามองเห็นเป็นตรอกสั้นๆ นั้น แต่เดิมเคยเป็นวังริมสะพานช้างโรงสีเหนือ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกกันสั้นๆ ว่าวังเหนือ เป็นวังที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาตลับ (ต้นตระกูลทวีวงศ์) กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์นั้น ทรงเข้ารับราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยทรงได้รับพระยศสูงสุดเป็นเสนาบดีกระทรวงนครบาล (มหาดไทย) ว่าราชการมาจนถึงพระชนมายุ 42 ชันษาก็ทรงสิ้นพระชนม์ หลังจาก กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์สิ้นพระชนม์ได้ไม่นาน ทายาทของพระองค์ ก็ขายวังให้กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงโปรดฯ ให้แบ่งพื้นที่ทำเป็นตึกแถว จากนั้นจึงพระราชทานชื่อถนนย่านนั้นว่า ถนนแพร่งภูธร ตามพระนามของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เดิมนั่นเอง


 
บริเวณภายในชุมชนแพร่งภูธร
          ชุมชนสามแพร่งนี้ถือเป็นย่านการค้าที่เคยรุ่งเรืองในสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาถึงรัชกาลที่ 6 โดยความเจริญนั้นเริ่มต้นขึ้นจากบริเวณเสาชิงช้าก่อนเพราะมีการตัดถนนสาย แรกๆ คือถนนบำรุงเมืองและถนนเฟื่องนครขึ้น อีกทั้งยังมีการสร้างตึกแถวสไตล์ตะวันตกให้คนมาเช่าทำการค้าขาย ซึ่งก็มีทั้งชาวจีน ชาวเปอร์เซีย และชาวตะวันตกเข้ามาค้าขายกัน ทำให้ย่านเสาชิงช้าในขณะนั้นกลายเป็นย่านการค้าอันทันสมัย และความเจริญนี้ก็ได้ขยายไปถึงย่านสามแพร่งที่อยู่ใกล้เคียงต่อมา
          
            นอกจากนั้นแล้วที่สามแพร่งนี้มีความน่าสนใจหลายๆอย่างด้วยกัน เช่นการเปลี่ยนแปลงของชุมชนจากตลาดน้ำมาเป็นตลาดบก โดยแต่เดิมนั้นคนจะทำมาค้าขายกันทางเรือในคลองคูเมืองเดิม แต่เมื่อมีถนนตัดผ่าน การค้าเริ่มเปลี่ยนจากในคลองมาเป็นริมถนน บริเวณชุมชนสามแพร่งนี้จึงเป็นชุมชนแรกๆที่เปลี่ยนจากชุมชนตลาดน้ำมาเป็น ชุมชนตลาดบก กลายเป็นย่านการค้า มีข้าวของจากต่างประเทศมาขาย และอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือบริเวณนี้ก็ยังมีตลาดสดแห่งแรกอีกด้วย คือตลาดศาลเจ้าพ่อเสือ ตั้งอยู่บริเวณใกล้ศาลเจ้าพ่อเสือ แต่ปัจจุบันไม่มีร่องรอยเหลือแล้ว

           ชุมชนแพร่งภูธรแห่งนี้ส่วนตัวผมเองไม่เคยได้รู้จักมาก่อน จนกระทั่งได้เรียนวิชา Delination ซึ่งอาจรย์ได้พาออกมาวาดภาพนอกสถานนี้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับชุมชนแห่งนี้ หลังจากนั้นชุมชนแห่งนี้ได้มีการจัดกิจกรรมภายในชุมชนและได้มีการนำภาพที่พวกผมได้ไป Deline นำมาจัดแสดงในแกลลอรี่ นั่นจึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้ผมได้เข้ามาสัมผัสกับชุมชนแห่งนี้อีกครั้ง

ภาพตอนที่มาร่วมกันจัดแกลลอรี่

            และเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมาผมก็ได้มีโอกาสไปที่ชุมชนแห่งนี้อีกครั้งเพื่อมาศึกษาและนำข้อมูลไปทำงาน จากการที่ผมได้สัมผัสกับพื้นที่ชุมชนแพร่งภูธรแห่งนี้มา ผมมีความรู้สึกได้ถึงความเป็นกันเองของผู้คนในชุมชน บรรยากาศสบายๆที่ค่อนข้างหาได้ยากในเมืองกรุง เมื่อมองจากถนนด้านนอกเข้ามาภายในชุมชนจะมองเห็นเป็นเหมือนตรอกเล็กๆ ซึ่งมองผ่านๆจะรู้สึกเหมือนข้างในนั้นไม่มีอะไรและรู้สึกเหมือนเป็นชุมชนแคบๆ แต่เมื่อได้ลองเดินเข้าไปจะพบกับ Space ที่มีความน่าสนใจและหาได้ยากมากเมื่อเทียบกับชุมชนต่างๆที่มีในกรุงเทพฯ เพราะว่าพอเราได้ลองเดินเข้ามาในตรอกเล็กๆที่เราเห็นก็จะพบกับลานกิจกรรมขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางของชุมชน

สุขุมาลอนามัย

บริเวณลานกิจกรรมกลางชุมชน
        ซึ่งลานกิจกรรมตรงนี้จะมีพื้นที่ติดกับสุขุมาลอนามัยซึ่งเป็นสถานนีอนามัยแห่งแรกในกรุงเทพฯ โดยพื้นที่ลานกิจกรรมนี้เป็นที่ดินที่มี 2 เจ้าของคือ ด้านที่ติดกับสุขุมาลอนามัยจะเป็นของสภากาชาด ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งลานกิจกรรมแห่งนี้เป็นเสมือนพื้นที่ส่วนกลางที่คนในชุมชนมีไว้พักผ่อน ไว้จัดกิจกรรมต่างๆของชุมชนกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่เลยก็ว่าได้


        พื้นที่บริเวณลานกิจกรรมนี้ช่วงวันเวลาธรรมดาก็จะมีร้านอาหารมาตั้งโต๊ะตั้งเก้าอี้ขายอาหารกัน หากได้ลองไปนั่งทานอาหาร หรือนั่งพักผ่อนบริเวณนั้น จะทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเราได้ไปนั่งปิกนิกภายในสวนสาธารณะ ท่ามกลางธรรมชาติเลยก็ว่าได้

         ส่วนรูปแบบสถาปัตยกรรมภายในชุมชนแพร่งภูธรนั้นจากที่ผมเคยได้ลองหาข้อมูลมาบ้างก็ว่าเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมแนวชิโนโปรตุกิสบ้าง แต่เมื่อได้สอบถามกับผู้ที่รู้จริงนั้นก็ได้คำตอบมาว่า จริงๆแล้วรูปแบบสถาปัตยกรรมของชุมชนแพร่งภูธรนั้นจริงๆแล้วเป็นแบบโคโรเนียล ซึ่งรูปแบบนี้ก็มาพร้อมกับสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งชุมชนแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นพอดีเลยได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมรูปแบบนั้นมา

รูปแบบอาคารภายในชุมชนแพร่งภูธร
            ชุมชนแพร่งภูธรถือได้ว่าเป็นชุมชนแห่งหนึ่งที่ได้รับการอนุรักษ์และควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ แต่สำหรับผมแล้วการอนุรักษ์ชุมชนและรูปแบบของสถาปัตยกรรมนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องแช่แข็งหรือต้องเก็บไว้ให้เหมือนเดิมทุกอย่าง หากแต่รูปแบบสถาปัตยกรรมนั้นจะเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นก็จะเกิดจากวิถีชีวิตและการใช้งาน เช่นอาจจะมีการเติมผ้าใบกันสาดเพิ่มขึ้นได้เนื่องมาจากการที่ถูกฝนสาดแต่ในการเพิ่มเติมอะไรเข้าไปก็ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับบริบทโดยรอบไม่ให้ดูแย่จนเกินไป แต่ใจความของการอนุรักษ์จริงๆแล้วคือ เราควรรักษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่และรูปแบบของชุมชนไว้

             สำหรับวิถีชีวิตของคนภายในชุมชนแพร่งภูธรนั้นส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าซึ่งบริเวณชุมชนแห่งนี้มีร้านค้าร้านอาหารที่มีชื่อเสียงและมีรสชาติอร่อยตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก และสภาพของผู้คนภายในชุมชนนั้นผู้คนในชุมชนแพร่งภูธรมีความเป็นกันเองและมีอัธยาศัยที่ดี เป็นชุมชนที่มีการอยู่ร่วมกันช่วยกันดูแล โดยจะมีประธานชุมชนคนปัจจุบันชื่อพี่ตุ๋ย ซึ่งเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวสมองหมูเป็นคนดูแลอยู่ ส่วนลักษณะของร้านค้าส่วนใหญ่นั้นจะใช้พื้นที่ชั้นล่างของบ้านเปิดเป็นที่ทำมาหากิน และใช้พื้นที่ชั้นบนในการพักอาศัยซึ่งเป็นลักษณะที่ผมรู้สึกว่าเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนที่เป็นย่านการค้าเลยก็ว่าได้

ลักษณะการค้าขายของคนภายในชุมชน
            จากที่กล่าวมาข้างต้นว่าชุมชนแห่งนี้มีร้านค้าร้านอาหารที่มีชื่อเสียงอยู่จำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนที่สนใจ และนักชิมทั่วทุกสารทิศอยากมาลิ้มรส อาทิเช่น
ร้านณัฐพร ไอศกรีม ซึ่งเป็นร้านไอศกรีมกะทิโบราณที่มีชื่อดังมากร้านหนึ่ง ซึ่งตัวผมเองเคยได้มีโอกาสลิ้มรสไอศกรีมของร้านชื่อดังแห่งนี้ อีกทั้งยังมีก๋วยเตี๋ยวมันสมองหมูของพี่ตุ๋ย หรือจะเป็นร้านลูกชิ้นหมูปิ้งที่มีรสชาติอร่อย น้ำจิ้มรสเด็ด รวมทั้งมีแม่ค้าที่มีหน้าตาน่ารักเป็นสิ่งดึงดูดลูกค้าอีกด้วย

             สุดท้ายนี้จากการที่ผมได้มีโอกาสลงไปสัมผัสพื้นที่ของชุมชนแพร่งภูธรแห่งนี้แล้วนั้น ทำให้ผมเกิดความรู้สึกภายในใจตัวเองลึกๆว่าอยากให้มีชุมชนแบบนี้อยู่ในกรุงเทพฯเยอะ ซึ่งเป็นชุมชนที่มีวิถีชีวิตที่ไม่หวือหวา แต่มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย มีความเป็นกันเอง มีพื้นที่ทำมาหากินที่น่าอิจฉา มีรูปแบบสถาปัตยกรรมและรูปแบบชุมชนที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นก็คือ สเน่ห์ของชุมชนแพร่งภูธร นั่นเอง


          หากจะให้ผมแนะนำพื้นที่ท่องเที่ยว ที่พักผ่อน หรือร้านอาหารเลิศรส ที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย เป็นกันเองและเต็มไปด้วยสเน่ห์ ผมคงแนะนำ แพร่งภูธร ได้อย่างไม่ลังเลใจเลยทีเดียว

ภาพถ่ายร่วมกับป้ายแพร่งภูธร

      หากผมสามารถนิยามอะไรอย่างหนึ่งกับชุมชนแพร่งภูธรได้ ผมอยากจะบอกว่า

       
           ..."แพร่งภูธร พื้นที่นี้มีชีวิต"...







รถโบราณหน้าอู่วิเชียร


ป้ายร้านค้าต่างๆในชุมชน
           
รูปแบบสถาปัตยกรรมภายในชุมชน


บริเวณซอยนี้มองออกไปจะเห็นกระทรวงกลาโหม

บริเวณหน้าโรงแรม เดอะ ภูธร ของพี่เจี๊ยบ ดิเรก

ลักษณะร้านค้าโชว์ห่วยภายในชุมชน

เครื่องปรับอากาศแบบเก่าที่ยังมีการใช้งานอยู่
ลักษณะชุมชน ที่มีการใช้งานพื้นที่ชั้นล่างในการค้าขาย

*** Special Thanks

- ขอขอบคุณ อ.ไก่ ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสลงไปสัมผัสและทราบซึ้งกับชุมชนแพร่งภูธรอีกครั้ง
- ขอขอบคุณ อ.กรินทร์ ที่ให้คำแนะนำต่างๆ และทำให้ผมได้รูจักกับชุมชนแพร่งภูธรแห่งนี้
- ขอขอบคุณ พี่เจี๊ยบ ดิเรก เจ้าของโรงแรม เดอะ ภูธร อีกทั้งยังเป็นรุ่นพี่คณะ สถาปัตย์ลาดกระบังของผม ที่ได้ให้สัมภาษณ์ และได้ให้คำแนะนำ ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับชุมชนแพร่งภูธรแห่งนี้
- สุดท้ายนี้ขอขอบคุณชาวบ้านชุมชนแพร่งภูธร และชุมชนแพร่งภูธรที่ได้ให้ความรู้และความประทับใจแก่ผม ขอบคุณมากครับ ^^

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

 สถาปนิก คืออะไร...??
              
              หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วในสมัยที่ผมเด็กๆ พ่อแม่ หรือใครๆมันจะถามเสมอว่า โตขึ้นไปแล้วอยากเป็นอะไร ด้วยในวัยที่เป็นเด็กก็มักจะตอบอาชีพที่เห็นกันบ่อยๆ เช่น หมอ ตำรวจ ทหาร คุณครู พ่อค้าแม่ค้า อะไรเหล่านี้ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในเด็กจำนวนนั้น ซึ่งในตอนนั้นผมเองยังไม่รู้จักคำว่า สถาปนิกหรือวิศวกร อะไรเหล่านี้เลย ซึ่งผมมาได้ยินคำว่าสถาปนิกครั้งแรกจากปากพ่อผม ซึ่งผมเรียกท่านว่า ป๊า วันนั้นป๊าผมได้ถามคำถามสุดฮิตนั้นขึ้นมาว่า โตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ผมก็ตอบกลับไปตามประสาเด็กผู้ชายว่า เป็นทหารคับ ซึ่งเป็นอาชีพที่ผมคิดว่ามันฮิตมากในหมู่เด็กผู้ชายวัยนั้น และเมื่อผมได้ตอบไปเสร็จป๊าผมก็ได้ถามกลับมาทันทีว่า "ไม่อยากเป็นสถาปนิกมั่งหรอ? " ผมเองด้วยความที่เป็นเด็กเลยตอบกลับไปทันทีว่า     " ไม่เอาอ่ะ "  ซึ่งสาเหตุที่รีบตอบแบบนั้นกลับไปเพราะคิดว่า อาชีพสถาปนิกมันคือกรรมกรแบกหามนั่นเอง บวกกับในตอนนั้นป๊ากับแม่มักจะสอนผมอยู่บ่อยๆว่าถ้าไม่ตั้งใจเรียนจะต้องไปทำงานแบกหามนะ ดังนั้นผมเลยบอกป๊าว่ายังไงก็ไม่เป็นเด็ดขาด นั่นคือเหตุการณ์แรกที่ผมได้รู้จักกับคำว่าสถาปนิก 
              
              พอโตขึ้นมาหน่อยช่วงสมัยมัธยมต้นที่ ร.ร.จุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ตอนนั้นผมอยู่ม.1 และได้รู้จักกับรุ่นพี่ ม.6 คนนึงซึ่งเป็นพี่ของเพื่อน รุ่นพี่คนนี้เป็นคนที่เรียนเก่งมาก และได้รับรางวัลจากการประกวดวาดภาพอยู่หลายครั้ง วันนึงผมได้ไปคุยกับพี่แก แล้วพี่แกก็เล่าให้ผมฟังว่าพอแกจบม.6 แล้วเนี่ย แกจะไปเอนทรานซ์เข้าคณะ สถาปัตย์ จุฬา ซึ่งผมเองขอยอมรับเลยว่า ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้จักกับไอ้คำคำนี้ซักที แต่ตอนนั้นมีความคิดโตขึ้นมาหน่อยผมเลยคิดว่าไอ้คณะสถาปัตย์ที่พี่แกจะไปเรียนนี่ มันเป็นคณะที่เกี่ยวกับการจักรสาน สถาปัตยกรรมมันคือการจักรสาน หารู้ไม่ผมดันไปสับสนกับไอ้คำว่าหัตถกรรม ผมพอได้ยินพี่เค้าบอกว่าจะไปเรียนคณะนี้ผมคิดทันทีเลยทำไมพี่แกถึงอยากไปเรียนทำของจักรสานวะ 

 และนั่นคืออีกครั้งหนึ่งที่ผมเข้าใจผิดกับคำคำนี้
............

                เอาล่ะทีนี้มาเล่าถึงในช่วงมัธยมปลายที่ ร.ร.สาธิต "พิบูลบำเพ็ญ" ม.บูรพา ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มๆได้คุ้นเคยกับคำว่าสถาปัตย์ มากขึ้น นั่นก็เพราะว่าในห้องผมซึ่งเป็นห้องเรียนสายวิทย์ เพื่อนในห้องส่วนใหญ่ก็มักจะมีความคาดหวังที่จะเข้าเรียนต่อในคณะ แพทย์ วิศวะ ทันตะ เภสัช ซึ่งเรียกได้ว่ากว่า 80% ของห้องเลยก็ว่าได้ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เชื่อมั๊ยล่ะ แต่ มีเพื่อนผมคนนึงที่ไม่ได้สนใจกระแสของห้องและเป็นคนที่ทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่าสถาปัตย์ สถาปนิก นั่นก็เพราะว่าเพื่อนคนนี้เค้าชอบพูดให้คนในห้องฟังว่าเค้าอยากเรียนคณะสถาปัตย์ อยากเรียนออกแบบ พูดเรื่องแนวๆนี้เกือบจะทุกวันจนสุดท้ายผมเลยได้รู้ว่าไอ้คณะนี้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจผิดมาตลอด 10 กว่าปีนี่หว่า ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นผมได้รู้จัก วงเฉลียง ซึ่งสมาชิกในวงส่วนมากเป็นเด็กสถาปัตย์ ดังนั้นเลยทำให้ผมได้รู้จักกับคำคำนี้มากขึ้น 

                แต่ผมก็ยังไม่ได้อยากจะเรียนคณะนี้นะ เพราะตอนนั้นช่วงม.4 ผมมีความตั้งใจที่อยากจะเข้าเรียนคณะเภสัชมากเนื่องจากทางบ้านผม ป้าผมได้เปิดร้านขายยาและลูกของป้าก็เรียนจบเภสัช 2 คน ซึ่งผมก็ไปคลุกคลีกับป้าและพี่ๆตั้งแต่เด็กเลยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเรียน แต่หารู้ไม่ วันที่ประกาศผลสอบออกมานั้น ไอ้กระผมนี่ไม่ได้มีหัวไปทางด้านนี้กะเค้าเลยซักนิด เกรดวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ออกมานี่รวมกันถ้าคิดเป็นเงินนี่มีมูลค่าเท่ากับเลย์ห่อเล็ก 1 ห่อ เอาไงดีวะเรา ถ้าจะเรียนไปทางเภสัชจะรอดมั๊ยเนี่ย แต่แล้ววันนึงผมก็ได้พบจุดเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่ในชีวิต วันนั้นผมไปเดินร้านหนังสือดอกหญ้า ไปหาหนังสือเรียนมาอ่าน พอกำลังจะเดินไปจ่ายเงินดันเหลือบไปเห็นหนังสือติวความถนัดทางสถาปัตย์ ไอ้คณะที่เพื่อนผมคนนั้นพูดกรอกหูให้ฟังเกือบทุกวัน ผมเลยลองหยิบมาเปิดอ่านดู ภายในจะมีแบบทดสอบ ข้อสอบความถนัดทางสถาปัตย์ในปีต่างๆเขียนไว้ ผมก็เลยลองคิดตามดูแล้วลองตอบในใจ ปรากฏว่าเฮ้ย!! เราทำได้นี่หว่า มันน่าสนุกดีด้วย จากวันนั้นเป็นต้นมาผมก็เริ่มรู้สึกสนใจกับคณะนี้ขึ้นมาบ้าง และได้ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะนี้ดูบ้าง และก็ได้ผลสรุปว่าเออเราน่าจะไปทางนี้นะ ประจวบเหมาะกับผมซึ่งชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กก็เลยคิดว่า ลองเดินทางนี้ดู มันน่าจะใช่ที่สุดละ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ไอ้เพื่อนที่พูดกรอกหูเพื่อนในห้องบ่อยๆไม่ใช่แค่มันคนเดียวแล้ว เพราะผมก็ได้กลายเป็นหนึ่งในนั้นไปซะแล้ว 555 

                  แต่การที่ผมจะเดินหนทางนี้ก็ไม่ได้สะดวกมากมายนักเพราะทางบ้านผมก็อยากให้ผมเรียนเภสัช วันแรกที่ผมไปขอแม่จะเรียนวาดรูปจำได้เลย แม่บอกกลับมาว่า จะเรียนไปทำไม เรียนได้แป๊ปเดียวเดี๋ยวก็เบื่อผมตื๊อแม่มาตั้งแต่ช่วงปลาย ม.4 มาได้เรียนอีกทีตอนปิดเทอมเล็ก ม.5 ซึ่งตอนนั้นแม่ก็ค่อยข้างโอเคกับการเรียนด้านนี้มาบ้าง แต่เอาจริงๆนะ ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่หรอกว่าคณะนี้เค้าจบไปทำอะไรกัน ก็พอเข้าใจคร่าวๆว่าจบมาแล้วทำงานออกแบบ แต่ก็ไม่ได้รู้เชิงลึก ก็เลยคิดว่าน่าจะเรียนสนุกแหละคิดๆอย่างเดียว แถมตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่า ลาดกระบังของเรามีคณะ สถาปัตย์ด้วยซ้ำ จนได้มาติวกับพี่ที่จบจากคณะสถาปัตย์ ลาดกระบัง และในตอนติวนั้นก็ได้ฟังเค้าเล่าถึงเรื่องต่างๆในคณะให้ฟังอยู่ตลอด พอตอนช่วงสอบตรงผมก็ได้เลือกสอบไปหลายที่แต่ก็ไม่ได้คิดหรือมีเป้าหมายว่าอยากจะเข้าที่ไหน ตอนนั้นก็ขอแค่ติดที่ไหนก็ได้เอาหมด ไม่ได้เจาะจงจะเอาที่ไหน แต่พอได้มาสอบตรงที่คณะสถาปัตย์ ลาดกระบัง ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาคณะนี้ แต่ผมกลับรู้สึกคุ้นกับที่นี่อย่างบอกไม่ถูกเหมือนกับว่าเคยมาที่นี่แล้วครั้งนึง ซึ่งอาจเป็นผลจากที่พี่ติวของผมแกพูดถึงคณะนี้ให้ฟังบ่อยๆก็เป็นได้

                 ทีนี้ก็พอจะรู้คร่าวๆแล้วล่ะว่าอะไรที่ดลใจให้ผมเลือกที่จะมาเรียนคณะนี้ ต่อไปจะเป็นเรื่องราวช่วงที่ได้เข้ามาเรียนในคณะสถาปัตย์ ลาดกระบังแห่งนี้  

                  ช่วงชีวิตปี 1 ในคณะนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ผมได้หลุดพ้นจากกรอบของการตื่นตี 5 อาบน้ำรอรถตู้มารับไปเรียนตกเย็นนั่งรถตู้กลับบ้านมากๆ เรียกได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ได้เจอกับอะไรใหม่ๆเข้ามาเยอะแยะมาก ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดโลกกิจกรรมของผมเลยก็ได้ ในช่วงแรกๆปี 1 มักจะโดนรุ่นพี่เรียกมาคุยแทบจะทุกวัน โดนบอกให้ทักเพื่อนทักพี่ ให้รู้จักคนนู้นคนนี้เยอะๆเพราะคณะเราต้องอาศัยการ connection ในการทำงานจริง ซึ่งถือเป็นการจุดไฟแห่งมิตรภาพสำหรับผมเลย ทีนี้เจอใครทักแหลกเลย มีกิจกรรมอะไรเข้าร่วมหมด และกิจกรรมหนึ่งที่ได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตผมมากๆ และถือว่าเป็นการพบเจออะไรที่ไม่เคยรู้จักกับมันมาก่อนนั่นก็คือกิจกรรมเชียร์ ความรู้สึกแรกของผมประมาณว่า เฮ้ยมันคืออะไรวะ?? ทำไมต้องร้องเพลง ทำไมต้องอยู่ที่มืดๆ ทำไมต้องมีคนว่าเราจากข้างหลังด้วยวะเนี่ย ร้อนนะเนี่ย แต่ด้วยความที่อยากสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆก็เลย เอาวะลองเข้าดูยิ่งเข้าก็ยิ่งอยากรู้ว่ามันมีความเป็นมายังไงก็เลยคิดในใจว่าปีหน้าเราลองมาทำมันดูละกัน 

                  เมื่อพูดถึงเรื่องโลกกิจกรรมไปแล้วทีนี้มาพูดถึงเรื่องชีวิตการเรียนบ้างดีกว่า ชีวิตการเรียนในปี 1 นั้นสำหรับผมมันเป็นการพบเจอเรื่องแปลกใหม่มากๆและรู้สึกชอบมากกับการเรียนแบบนี้ ซึ่งเป็นการเรียนที่เรารู้สึกสนุกไปกับมันมีวิชาแปลกที่ไม่รู้จักเต็มไปหมด ซึ่งวิชาที่โด่งดังที่สุดเห็นจะเป็นวิชา Drawing ซึ่งเป็นวิชาดูดพลังมากที่สุดถือได้ว่าเป็นการเปิดศักราชของการอดนอนเลยก็ว่าได้แต่ก็เป็นวิชาที่ทำให้ผมได้สนิทกับเพื่อนๆ เนื่องจากได้มาทำงานที่สตูอยู่กินนอนด้วยกัน ซึ่งเป็นอะไรที่รู้สึกสนุกมาก

แต่เรื่องทุกอย่างก็ไม่ได้สนุกไปซะอย่างเดียว
..........
                 
                   ในชีวิตช่วงปี 1 นั้นผมก็มีโอกาสได้พบกับบทเรียนอย่างหนึ่ง ซึ่งผมถือว่าเป็นบทเรียนที่ผมจะจดจำมันไปตลอดชีวิตเลยนั่นก็คือการที่ตื่นไปสอบวิชาภาษาอังกฤษไม่ทัน ทั้งหมดมันเกิดมาจากตัวผมเอง คืนก่อนสอบวันนั้นเป็นคืนเดียวกับคืนก่อนส่งทีสิสของพี่ ซึ่งผมก็ได้เข้าไปช่วยงานพี่และก็ช่วยไปเรื่อยๆจนเวลาใกล้ๆเช้าพี่เค้าก็บอกให้ผมกลับไปนอนได้แล้ว ไอ้ตัวผมเองก็ดื้อไม่ยอมกลับบอกพี่ว่าเดี๋ยวนั่งอ่านที่นี่เช้ากลับไปอาบน้ำแล้วมาสอบ ปรากฏว่าพอเช้าผมก็ได้กลับหอไปแทนที่จะอาบน้ำ ดันทะลึ่งมาขยันติวผิดเวลา และที่สำคัญดันไปขยันติวผิดที่แทนที่จะนั่งเก้าอี้ติวดันไปนั่งบนที่นอน เท่านั้นแหละลืมตามาอีกที 11 โมง ความคิดแรกที่เกิดขึ้นในหัวคือ ไอ้เอี้ยยยยยยยยย!!!! แล้วจากนั้นก็รีบวิ่งมาห้องสอบผลปรากฏว่าไม่ทัน และนั่นก็ถือได้ว่าเป็นบทเรียนที่ผมจะจำไปตลอดชีวิตเลยทุกวันนี้เวลาคุยกะ รุ่นน้องผมก็มักจะเล่าเรื่องนี้ให้น้องๆฟังเพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครมาเจอ เหตุการณ์แบบนี้อีก


                    ช่วงปี 2 สำหรับผมถือได้ว่าเป็นปีที่ทำกิจกรรมอย่างเต็มที่เลย ก็จากเหตุการณ์ตอนปี 1 นั่นแหละครับที่ผมบอกว่าปีหน้าจะลองมาทำเชียร์ดู แล้วเชื่อหรือไม่ว่าผมนั้นเป็นหลีดคณะ หึหึ ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยและในปีเดียวกันนั้นผมก็ได้มาเป็นเอนเตอร์เทนของคณะอีกซึ่งเป็นคนที่คอยนำน้อง ออกไปเล่นตลก เล่นมุก เรียกเสียงเฮฮาให้กับทุกคน จากคนขี้อายกลับกลายต้องมายืนนำอยู่หน้าน้องๆเป็นร้อยๆคน โอ่ยเรียกได้ว่าไปไม่เป็นเลยทีเดียว ประสบการณ์ก็ไม่ค่อยมีแต่โชคดีที่มีรุ่นพี่เอนเตอร์เทนคอยช่วยอยู่ ซึ่งการได้มาทำในจุดนี้ถือว่าเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของผม เป็นการฝึกความกล้าไปในตัวและได้รู้จักกับคนมากมายซึ่งเป็นอะไรที่รู้สึกสนุกมาก 

                   ส่วนเรื่องการเรียนนั้นก็ไม่ได้ทิ้งไปผมถือว่าเรียนกับเล่นก็ต้องไปด้วยกัน การเรียนในช่วงปี 2 ในขณะนั้นเรียกได้ว่างานหนักพอตัวเมื่อเทียบกับปี 1 มีวิชาที่ยากขึ้นมาอีกระดับซึ่งทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานที่หลากหลายมากขึ้น เทคโนโลยีการก่อสร้างที่มากขึ้น ได้ทำโปรเจคบ้านที่หลากหลายสไตล์ได้เรียนรู้วิธีการทำงาน ส่วนตัวผมนั้นจะมีคติที่เกี่ยวกับการเรียนและทำงานของตัวเองอย่างหนึ่งคือทำไปจะได้เกรดเท่าไหร่ไม่สน ขอแค่ทำแล้วเราสนุกไปกับมันได้ทำมันเต็มที่ก็พอแล้ว ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นปีที่สนุกแบบเหนื่อยๆไปอีกปี

           


                พอขึ้นมาช่วงปี 3 ผมได้คิดกับตัวเองว่าอยากจะเพลาเรื่องกิจกรรมลง ว่าจะไม่ทำเชียร์แล้ว ซะที่ไหนได้ผลปรากฏออกมาว่าผมต้องเป็นเอ็นเตอร์เทนอีกปีนึงซะงั๊น โอ้ว!!คุณพระ แถมเซอร์ไพรซ์สุดคือเป็นเอนเตอร์เทนที่โตที่สุดในนั้น ซึ่งปกติแล้วจะมีรุ่นพี่ปี 4 มาเป็นคนคอยนำให้แต่ด้วยเหตุการณ์อะไรหลายอย่างสุดท้ายเลยกลายเป็นไม่มีปี 4 นำ กลายเป็นผมที่ต้องมายืนนำแทน แต่นั่นก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนตัวเองในการเป็นผู้นำไปในตัวแถมในการเป็นเอนเตอร์เทนปีนั้นทำให้ผมได้ร่วมงานกับ อะตอม และ อัตตา ซึ่งเป็นรุ่นน้องนิเทศทั้งสองคนนี้เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่มีพรสวรรค์มาก ในการทำงานร่วมกับทั้งคู่ทำให้ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ได้เรียนรู้แนวความคิดแปลกๆใหม่เข้ามา 
             

               ในส่วนชีวิตการเรียนนั้นปี 3 นี่ใครๆเค้าก็บอกว่ามันชิล สบาย งานน้อย ไอ้เราก็เชื่ออย่างที่เค้าเล่าผลปรากฏว่าคดีพลิกครับท่าน งานน้อยน่ะมันน้อยแค่ช่วงต้นเทอม ปลายเทอมนี่สิของจริง ซึ่งในช่วงปี 3 นั้นมีช่วงเดือนเดือนนึงที่ผมจัดเก็บไว้ในสมองอย่างไม่มีวันลืมเลยนั่นคือช่วง เดือนกันยายนทมิฬ ให้ตายเถอะครับผมได้ลองลิสเขียนปฏิทินการทำงานของตัวเองเชื่อหรือไม่ว่าตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนกันยาจวบจนวันที่ 30 ซึ่งเป็นวันสิ้นเดือน ไม่มีวันไหนที่เป็ยช่องว่างเลยซักวัน โอ้วพระเจ้า แต่ในช่วงชีวิตปี 3 ก็เป็นช่วงชีวิตที่ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายในด้านการเรียน ได้ฝึกการทำงานแบบมีกระบวนการ ซึ่งเป็นแนวทางในการทำงานที่ดีมากๆเลยทางนึงก็ว่าได้
                   
                






              
               ทีนี้มาถึงช่วงชีวิตที่เค้าว่ากันว่าหนัก โหด หินที่สุดละนั่นก็คือช่วงปี 4 ผู้นี้นี่เอง ปี4 นั้นถือเป็นปีที่เราต้องเตรียมตัวก้าวไปพบกับโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว เราต้องเตรียมตัวจัดแจงชีวิตตัวเองให้มากขึ้น  เรื่องกิจกรรมก็ว่าจะต้องเพลาลงหน่อยล่ะ ซะที่ไหนล่ะครับ ปีนี้เข้าไปทำสโมอย่างเต็มรูปแบบซะงั๊น จะให้ทำไงได้ครับก็เพื่อนผมมันเป็นนายกสโมฯ ไปซะงั๊น 555 เราก็อยากจะช่วยมันทำเพราะว่าปีนี้เป็นปีที่เราขึ้นมาทำก็อยากจะให้มันออกมาดี ช่วงก่อนเปิดเทอมปี 4 ก็เป็นช่วงที่ต้องเข้ามาเพื่อเตรียมตัวที่จะรับน้องๆปีหน้าที่จะเข้ามา ต้องซ้อมเพลงเชียร์ เตรียมการอะไรเยอะแยะและในช่วงนั้นพวกผมก็ยังได้รับจ๊อบตัดโมเดลบ้านจัดสรรมาอีกด้วย แต่ในการเข้ามาทำสโมนั้นก็ได้ทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนคณะอื่นๆมากมายจากที่เรียนมา 3 ปีไม่เคยรู้จักพอได้เข้ามาทำตรงนี้กลับทำให้เราได้มิตรภาพจากเพื่อนคณะอื่นมากอีก ได้รู้จักการติดต่อกับผู้คนมากมายซึ่งผมถือว่าเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี และที่สำคัญปีนี้ผมเป็นเอนเตอร์เทนอีกแล้วครับ เลยทำให้ยิ่งได้พบกับคนเยอะขึ้นมากกว่าเดิม 



                 ในวันก้าวแรกหรือ First step ของทางสถาบันนั้นเค้าก็ได้ให้พวกผมซึ่งเป็นตัวแทนของคณะสถาปัตย์ ไปเหมือนแนะนำไปโชว์ทีมสันทนาการ ของแต่ละคณะ นั่นเป็นการยืนอยู่หน้าคนนับพันครั้งแรกในชีวิตของผม ตัวนี่สั่นเลยก่อนขึ้นเวทีก็เลยหาอะไรเล่นเป็นการลดความตื่นเต้นของตัวเองนั่นก็คือการแกล้งเพื่อนคณะอื่นนั่นเอง แต่ก็ถือว่าเป็นการได้มิตรภาพใหม่ๆมา
                 

               ส่วนในเรื่องการเรียนปี 4 นั้นเป็นปีที่เราได้เรียนรู้กับการทำงานจริงมากขึ้นได้เจอกับงานที่ยากและ เยอะขึ้นเพื่อเป็นการขัดเกลาตัวเองก่อนจะไปพบกับโลกของการทำงานจริงๆในช่วง ปี 4 นี้เป็นปีที่ฝึกให้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมมากขึ้น และทีมที่ผมทำงานร่วมกันบ่อยๆเกือบจะทุกงานก็เป็นกลุ่มเพื่อนๆที่มีหน้าตา น่ารัก คิกขุ อาโนเนะ เป็นอาวุธนั่นเองซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานกับเพื่อนๆกลุ่มนี้ กินอยู่หลับนอนด้วยกันมาหลายต่อหลายงาน นับว่าเป็นโชคชะตาที่ดีที่ได้รู้จักกัน และในอีกไม่กี่เดือนชีวิตของการเรียนปี 4 ก็จะจบลงและก้าวไปสู่ชีวิตการเรียนปี 5 ที่เป็นการเรียนปีสุดท้ายในคณะนี้ เป็นการเรียนที่ต้องทำทีสิส และจัดการแบ่งเวลาชีวิตของตัวเอง บริหารชีวิตให้เป็น 

 
                   เมื่อพูดถึงเรื่องทีสิสแล้ว ทีสิสที่ผมสนใจจะทำคือ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์สำหรับเด็ก สาเหตุที่คิดอยากจะทำความคิดแรกที่โผล่มาในหัวเลยก็คืออยากจะทำอะไรที่ เกี่ยวกับเด็กๆ เพราะผมคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่ทำแล้วรู้สึกสนุกและสบายใจ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกๆคนนั้นมีผีเด็กสิงอยู่ในตัว ต่อให้เป็นคนที่ทำงานแล้วก็ตาม อย่างน้อยก็ต้องมีมุมเล็กๆมุมนึงที่ยังมีความรู้สึกแบบเด็กๆแฝงอยู่ในตัว ซึ่งทีสิสนี้เป้าหมายแรกคือจะมุ่งไปที่ตัวเด็กเป็นหลักอยู่แล้ว แต่เป้าหมายรองที่อาจจะโดนลูกหลงไปด้วยนั่นคือผู้ใหญ่ พ่อแม่ ผู้ปกครองที่ได้รับลูกหลงจากการพาลูกมาทำให้ย้อนกลับไปคิดถึงช่วงเก่าสมัย ที่ตัวเองเป็นเด็ก เพื่อจะได้ไม่มองข้ามความคิดของเด็กไป

                 
  จนถึงวันนี้เมื่อได้เข้ามาเรียนรู้มาใช้ชีวิตในคณะนี้ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่าสถาปนิกมากขึ้น ได้รู้จักกับวิชาชีพนี้มากขึ้นว่าเค้าเรียนกันอย่างไรจบมาแล้วทำอะไรกัน ซึ่งถ้าเทียบกับคำว่าสถาปนิกในสมัยเด็กน้อยของผมนั้นมันช่างแตกต่างกันไป อย่างสิ้นเชิง วิชาชีพเราเป็นวิชาที่ต้องหาความรู้มาพัฒนาตัวเองตลอดเวลา หาสิ่งใหม่ รู้จักกับคนใหม่ๆตลอดเวลาซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกับชีวิตและกระบวนการคิด การทำงานของเราเป็นอย่างมาก ถ้าหากพูดถึงวิธีการและกระบวนการคิดนั้น สถาปนิก Idol ของผมก็คงจะเป็น Bjark Ingels เจ้าของ BIG นั่นเองซึ่งเป็นสถาปนิกที่มีแนวความคิดและกระบวนการคิดที่เจ๋งมากคนนึงและมีการสื่ออกมาได้เข้าใจง่ายและน่าสนใจ ซึ่งการของเค้าส่วนใหญ่จะมีรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างแหวกแนวไม่เหมือนใคร แต่เป็นการแหวกแนวแบบมีที่มามีการวิเคราะห์ที่ผ่านกระบวนการต่างๆมากมายซึ่งเป็นสถาปนิกคนหนึ่งที่ชวนศึกษาเป็นอย่างมาก

                 ส่วนในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี้ผมก็ได้เลือกไปฝึกงานกับ case studio ของอ.ปฐมา ซึ่งเป็นกลุ่มสถาปนิกที่ลงไปทำงานกับชุมชน ซึ่งส่วนตัวผมเองผมชอบที่จะได้ลงไปเจอพูดคุยกับผู้คนมากๆอยู่แล้วถือเป็นการ เปิดโลกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ซึ่งผลที่คาดหวังว่าจะได้จากการไปฝึกกับ case นั้นก็คือการได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้าน ได้รู้จักกับผู้คนมากมาย ได้ลงไปทำประโยชน์ให้กับชาวบ้านที่ต้องการการพัฒนา ซึ่งเรานั้นถือว่าโชคดีที่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีความพร้อมก็เลยอาจทำให้เรามองข้ามคนที่ยากไร้ไป การที่ได้ลงไปช่วยไปอยู่กับคนในชุมชน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะคติกันก็อาจทำให้เราได้มองเห็นอะไรใหม่ๆก็เป็นได้
 
                 ซึ่งส่วนตัวผมนั้นเมื่อจบไปแล้วก็คิดว่าคงจะทำงานเป็นสถาปนิกนี่แหละ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ทำงานแบบไหนแต่ก็อยากค้นหาสิ่งที่เราคิดว่าอยู่กับมันแล้วมีความสุข สามารถทำงานกับมันได้เป็นเวลานานๆก็คงจะลองค้นหาไปเรื่อยๆแต่ส่วนตัวแล้วผมสนใจในสายงานพื้นถิ่น งานชุมชน งานที่สร้างประโยชน์ให้กับผู้คนจำนวนมากซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามมันไป

                
   
                 และสุดท้ายนี้เนื่องในโอกาสใกล้วันพ่อก็อยากจะขอพูดถึงป๊าผมซักหน่อยละกัน ก่อนอื่นเลยขอเล่าอะไรนิดๆเกี่ยวกับป๊าก่อนป๊าผมนั้นเป็นคนที่ดูภายนอก เหมือนคนดุๆ ป๊าท่านมักจะชอบวางตัวเป็นคนที่เข้มงวดกับลูกๆเสมอแต่หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้ว ท่านเป็นคนที่ใจอ่อนกับลูกๆมากที่สุดเลย เวลาเด็กๆผมขอให้ท่านซื้อของเล่นให้ท่านก็มักจะทำเป็นไม่ซื้อให้แล้วก็ว่า กล่าวตักเตือนแต่สุดท้ายแล้วป๊าก็เป็นคนที่เดินจูงมือผมไปซื้อเองจนได้ ผมกับป๊ามักจะเปรียบเสมือนเสือ 2 ตัว 555 เวลาอยู่ด้วยกันทีไรได้ทะเลาะกันทุกทีตามประสาลูกชายคนโตกับพ่อ ซึ่งมีแนวคิดที่ไม่ค่อยจะตรงกันนั่นเองแต่สุดท้ายแม่ก็จะรับบทบาทเป็น กรรมการห้ามทั้งคู่ตลอด หากพูดถึงการมาเรียนวิชาชีพนี้ป๊าก็มีส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือท่านคอยสนับ สนุนลูกๆทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องการศึกษา ผมได้เรียนรู้งานช่างส่วนหนึ่งก็มาจากป๊าของผมนี่ล่ะ ป๊าทำงานอยู่ กฟผ. ซึ่งท่านก็มีทักษะของช่างอยู่ส่วนหนึ่ง แม่ผมมักชอบให้ป๊าทำชั้นวางของที่ร้านให้ แล้วเวลาที่ป๊าทำผมก็มักจะชอบไปนั่งดูช่วยหยิบนู่นหยิบนี่เลยทำให้พอมีทักษะ ทางช่างอยู่บ้าง


                  ช่วงที่มาสอบที่นี่ก็ได้ป๊านี่ล่ะเป็นคนพามาสอบตลอด เหตุการณ์นึงจำได้เลยตอนสอบสัมภาษณ์รับตรงที่นี่ป๊าก็ได้พาผมมาแล้วเราก็นั่งคุยกันอยู่บนรถ พอถึงเวลาที่ผมกำลังจะเข้าไปสัมภาษณ์ป๊าก็ได้เอาพระเครื่อง จากในรถใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผมแล้วป๊าก็บอกว่าพกเอาไว้ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสอบติดที่นี่ก็ได้นะ 555 และป๊าผมท่านก็มีมุมน่ารักๆของท่านอยู่ถึงท่านจะเป็นคนหน้าดุก็เถอะ ในวันที่ผมสอบติดที่นี่ผมได้โทรไปหาแม่แล้วบอกกับแม่ ไม่ทันไรประมาณ 5 นาทีต่อมาหลังจากวางสายแม่ญาติที่ลำปางซึ่งเป็นบ้านเกิดของป๊าก็ได้โทรมาแสดงความยินดี ผมเองก็งงว่าเค้ารู้ได้ไงเลยถามไป เค้าเลยบอกมาว่าพอป๊ารู้ว่าผมสอบติดปุ๊ปป๊าก็รีบโทรไปบอกกับญาติๆทุกคนใหญ่เลย แหมะ ไม่น่าเชื่อจริงๆ อะไรจะขนาดนั้น 




                  สุดท้ายนี้ผมอยากจะขอขอบคุณป๊ามากๆที่คอยช่วยสนับสนุนผมอยู่ตลอดมา ผมเข้าใจว่าท่านทำงานหนักและเหนื่อยแต่ท่านก็สู้เพื่อครอบครัวและลูกๆ ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำให้ป๊าผิดหวังในตัวผมแน่ๆ และผมจะทำตามคำสอนที่ป๊าบอกไว้เสมอว่าคนเราจะเก่งไม่เก่งไม่เป็นไร ขอให้เราเป็นคนดีไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอแล้ว